จีน
มุมมองจากเดอะฮิลล์: ความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียกลับสู่ภาวะปกติ ด้วยการเยือนของแอลเบเนในเดือนพฤศจิกายน
ความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียเริ่มดีขึ้นหลังการเปลี่ยนรัฐบาล อัลบาเนซีกำลังจะเยือนจีนและหารือเรื่องนโยบายต่างๆ รวมทั้งการแก้ปัญหาภาษีไวน์ที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
—
การแปลเป็นภาษาไทย:
ความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียเริ่มดีขึ้นหลังการเปลี่ยนรัฐบาล อัลบาเนซีกำลังจะเยือนจีนและหารือเรื่องนโยบายต่างๆ รวมทั้งการแก้ปัญหาภาษีไวน์ที่ส่งผลต่อการค้าระหว่างประเทศ
Key Points
สรุปเนื้อหาใน 60 คำ:
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและออสเตรเลียเริ่มดีขึ้นหลังการเปลี่ยนรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียจะเดินทางเยือนจีนระหว่างวันที่ 4-7 พฤศจิกายน เพื่อหารือความร่วมมือเศรษฐกิจและความท้าทายด้านนโยบายต่างประเทศ ในขณะเดียวกันจีนจะทบทวนภาษีไวน์ออสเตรเลีย การเดินทางนี้จะสำคัญต่อความสัมพันธ์ในอนาคตของทั้งสองประเทศ
เรียบเรียงเนื้อหาในรูปแบบสามย่อหน้าพร้อมลิสต์หัวข้อ:
ความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียดีขึ้น:
- หลังการเปลี่ยนรัฐบาลในออสเตรเลีย ความสัมพันธ์เริ่มคลี่คลาย
- นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียจะเดินทางเยือนจีนในวันที่ 4-7 พฤศจิกายน
- หารือเพื่อความร่วมมือเศรษฐกิจและปัญหาต่างประเทศที่เกิดขึ้น
การทบทวนภาษีไวน์:
- จีนจะทบทวนภาษีไวน์ออสเตรเลียเป็นเวลา 5 เดือน
- ออสเตรเลียจะระงับการดำเนินการกับ WTO ชั่วคราว
- การเดินทางมีความสำคัญต่อผู้ผลิตไวน์ออสเตรเลีย
- วาระสำคัญในการประชุม:
- หัวข้อหารือรวมถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมจารกรรมจากจีนยังคงมีอยู่
- อัลบาเนซีจะหารือกับประธานาธิบดีไบเดนเกี่ยวกับข้อตกลง AUKUS และพลังงานสะอาด
สรุปความสัมพันธ์ระหว่างจีนและออสเตรเลีย: การฟื้นฟูและการเยือนของนายกรัฐมนตรี Albanese
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและออสเตรเลียเริ่มกลับมาสู่สภาวะที่ดีขึ้นอย่างระมัดระวังตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลกลางในปีที่แล้ว และได้เดินหน้าด้วยความรวดเร็ว โดยมีเหตุการณ์สำคัญคือการเตรียมการเยือนออสเตรเลียของนายกรัฐมนตรี Albanese ระหว่างวันที่ 4 ถึง 7 พฤศจิกายน ซึ่งจะมีการหารือกับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงและนายกรัฐมนตรีหลี่เฉียง รวมถึงการเข้าร่วมงาน China International Import Expo ที่เซี่ยงไฮ้
การปล่อยตัวนายเฉิงเล่ย นักข่าวออสเตรเลียที่ถูกควบคุมตัวในจีน เป็นสัญญาณดีก่อนการเยือน และคาดการณ์ว่าจีนจะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการจำกัดการนำเข้าไวน์จากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อตลาดไวน์ของออสเตรเลีย โดยการส่งออกไปยังจีนลดลงอย่างมากจาก 1.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2019 เหลือเพียง 16 ล้านดอลลาร์ในปี 2022
จีนเป็นพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ของออสเตรเลีย โดยมูลค่าการค้าระหว่างกันลดจากประมาณ 20,000 ล้านดอลลาร์เหลือประมาณ 2,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงที่มีข้อจำกัดทางการค้าระหว่างกัน นายกรัฐมนตรี Albanese ระบุว่าการเดินทางของเขาเป็นการเฉลิมฉลอง 50 ปีหลังจากการเยือนครั้งประวัติศาสตร์ของนายกรัฐมนตรี Gough Whitlam ซึ่งสร้างรากฐานความสัมพันธ์ที่สำคัญในหลายด้าน
แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น แต่รัฐบาลออสเตรเลียยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาไต้หวันและการแทรกแซงของจีนในภูมิภาคแปซิฟิก ประเด็นสำคัญที่นายอัลบาเนซีจะหารือระหว่างการเยือนรวมถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน
ในขณะเดียวกัน นายอัลบาเนซีกำลังเตรียมการพูดคุยกับประธานาธิบดีไบเดนในสหรัฐฯ เกี่ยวกับความก้าวหน้าของข้อตกลง AUKUS และการมีส่วนร่วมของออสเตรเลียในเศรษฐกิจโลกที่ใช้พลังงานสะอาด โดยความคิดเห็นของเขาได้สะท้อนถึงผลประโยชน์ที่ออสเตรเลียจะได้รับจากการเปลี่ยนแปลงนี้
การเยือนครั้งนี้จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงระหว่างออสเตรเลียและจีน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในหลากหลายด้าน อีกทั้งยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่มีต่อนโยบายต่างประเทศในภูมิภาคนี้อย่างมีระมัดระวังและชัดเจน.
Source : มุมมองจากเดอะฮิลล์: ความสัมพันธ์จีน-ออสเตรเลียกลับสู่ภาวะปกติ ด้วยการเยือนของแอลเบเนในเดือนพฤศจิกายน
จีน
การวาดเส้นในทะเลจีนใต้: การอ้างสิทธิใหม่ของปักกิ่งเหนือแนวปะการังที่เป็นข้อพิพาทหมายถึงอะไร
เมื่อต้นเดือนจีนประกาศเขตใหม่รอบแนวปะการังสการ์โบโรห์ ฟิลิปปินส์ปฏิเสธคำประกาศนี้ สร้างความตึงเครียดระหว่างสองชาติในทะเลจีนใต้
Key Points
ประเทศจีนประกาศ "เส้นฐาน" ใหม่รอบแนวปะการังสการ์โบโรห์ในทะเลจีนใต้ การกระทำนี้เพื่อยืนยันอำนาจอธิปไตยของจีนและเชื่อมต่อกับข้อพิพาททางทะเล รัฐบาลจีนใช้พิกัดทางภูมิศาสตร์กำหนดตำแหน่งของจุดเพื่อขยายพื้นที่ทางทะเล ซึ่งเป็นไปตามสนธิสัญญา UNCLOS แต่มีความขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศ
ฟิลิปปินส์ปฏิเสธคำประกาศดังกล่าวว่าเป็นการละเมิดอธิปไตย ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางทะเลที่มากขึ้น จีนตั้งใจยกระดับการลาดตระเวนในพื้นที่และอ้างสิทธิ์ในแนวปะการังเห็นได้จากการเผชิญหน้าซ้ำที่เกี่ยวข้องกับการใช้พื้นที่ประมง
- ความเคลื่อนไหวของจีนอาจเปลี่ยนแปลงการเรียกร้องในทะเลจีนใต้อย่างลึกซึ้งหลายประเทศที่มีผลประโยชน์ในทะเลนี้อาจรู้สึกกังวล สำคัญกว่าแนวปะการังสการ์โบโรห์ คือหมู่เกาะสแปรตลีย์ ซึ่งอาจเป็นเป้าหมายถัดไปของจีนในการขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในทะเล
เมื่อต้นเดือนนี้ จีนได้ประกาศ “เส้นฐาน” ใหม่รอบแนวปะการังสการ์โบโรห์ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในทะเลจีนใต้ การเคลื่อนไหวนี้เป็นการยืนยันอำนาจอธิปไตยของจีนในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทระดับโลก โดยสอดคล้องกับกฎหมาย UNCLOS ที่ยอมรับทั่วโลก การประกาศนี้เกิดขึ้นหลังฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายทางทะเลใหม่เพียงสองวัน ซึ่งพยายามปกป้องข้อเรียกร้องของตนเองเหนือแนวปะการังดังกล่าว
การประกาศครั้งนี้ทำให้ฟิลิปปินส์ปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยที่มีมาอย่างยาวนาน การกระทำนี้ยังเพิ่มความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศและเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าทางทะเลในอนาคต แนวปะการังสการ์โบโรห์ตั้งอยู่ระหว่างฟิลิปปินส์และจีน และได้เป็นแหล่งต้นเหตุของความขัดแย้งหลายครั้งในปีที่ผ่านมา
ในปี 2016 ศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศตัดสินว่าจีนไม่มีสิทธิทางประวัติศาสตร์เหนือพื้นที่นี้ แต่จีนปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าว การประกาศเส้นฐานในเดือนนี้เป็นการระบุพิกัดทางภูมิศาสตร์ของการอ้างสิทธิ์อย่างละเอียด ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติมาตรฐานในการอ้างสิทธิ์เชิงอาณาเขตทางทะเล
การกระทำของจีนเป็นไปตามแบบแผนแห่งการดึงเส้นฐานตรง ซึ่งไม่ได้สอดคล้องอย่างเต็มที่กับ UNCLOS กระนั้น การกระทำนี้บ่งชี้ว่าจีนอาจมุ่งเน้นไปที่การบังคับใช้กฎหมายในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น รวมถึงการยกระดับการลาดตระเวนโดยหน่วยยามฝั่งจีน
การยืนยันสิทธิ์ของจีนเหนือพื้นที่ที่เล็กกว่าอย่างแนวปะการังสการ์โบโรห์อาจบรรเทาความหวั่นเกรงของหลายประเทศที่หวังว่าจะได้รับการอ้างสิทธิ์บนพื้นที่ทางทะเลที่ใหญ่กว่า อย่างไรก็ตาม หน่วยงานทางทะเลของประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคยังคงมีโอกาสประท้วงความพยายามในการอ้างสิทธิ์พื้นที่ใหม่ ๆ ของจีนโดยเฉพาะในหมู่เกาะสแปรตลีย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของแหล่งประมงที่สำคัญและมีการอ้างสิทธิโดยหลายประเทศในภูมิภาคนี้.
Source : การวาดเส้นในทะเลจีนใต้: การอ้างสิทธิใหม่ของปักกิ่งเหนือแนวปะการังที่เป็นข้อพิพาทหมายถึงอะไร
จีน
การต่อสู้ของยักษ์ใหญ่: สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกามีความกังวลเกี่ยวกับกำลังการผลิตส่วนเกินทางอุตสาหกรรมของจีน
จีนมุ่งสู่ตลาดสีเขียวโดยใช้เงินอุดหนุนเพื่อผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและโซลาร์เซลล์ ส่งผลให้ยุโรปและสหรัฐฯ กังวลเรื่องกำลังการผลิตส่วนเกินและการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น
Key Points
จีนไม่พอใจกับการผลิตระดับล่าง แต่กำลังบุกตลาดสีเขียวด้วย EVs แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ลิเธียม ซึ่งทำให้สหภาพยุโรปและสหรัฐวิจารณ์เรื่อง "กำลังการผลิตส่วนเกิน" จีนโต้กลับว่าความต้องการสูงแต่กำลังขาดแคลนจริง
เงินอุดหนุนของรัฐบาลจีนในอุตสาหกรรมสีเขียวสร้างผลกระทบสำคัญต่อยุโรปและสหรัฐฯ จีนควบคุมการผลิตและยอดขายในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ในปี 2566
- ยุโรปและสหรัฐฯ คว่ำบาตรรถยนต์ไฟฟ้าจีนเพื่อปกป้องผู้ผลิตท้องถิ่น จีนปรับตัวด้วยการจับมือผู้ผลิตยุโรป ความท้าทายใหญ่จากจีนเกิดจากต้นทุนแรงงานต่ำและอุดหนุนจากรัฐ
เนื่องจากจีนได้เริ่มการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ลิเธียม ได้ก่อให้เกิดความวิตกกังวลในยุโรปและสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง “กำลังการผลิตส่วนเกินทางอุตสาหกรรม” ซึ่งถูกตีความว่าเป็นการทำลายเศรษฐกิจท้องถิ่นจีนตอบโต้ว่าโลกยังคงขาดแคลนกำลังการผลิตในส่วนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความวิตกกังวลคือปัญหามากกว่าระบบการผลิตที่มากเกินไป แต่อีกด้านหนึ่ง จีนได้รับประโยชน์จากเงินอุดหนุนจากรัฐบาลอย่างมหาศาล ทำให้ผลิตภัณฑ์ของจีนมีราคาต่ำ จึงกระทบต่อผู้ผลิตในต่างประเทศ
นโยบายและการสนับสนุนด้านเงินอุดหนุนของรัฐบาลจีนในอุตสาหกรรมสีเขียวทำให้ราคาผลิตภัณฑ์ EV ของจีนต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ในตลาดยุโรป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้ จีนควบคุมการผลิตทั่วโลกถึง 71% ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ และแบตเตอรี่ลิเธียม อย่างไรก็ตาม การยกเลิกการอุดหนุนในสิ้นปี 2565 อาจทำให้จีนส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศมากขึ้น ความเคลื่อนไหวต่อการคว่ำบาตรของสหภาพยุโรปอาจไม่ได้รับผลสำเร็จ เนื่องจากบริษัทจีนสามารถหาวิธีร่วมมือกับผู้ผลิตในยุโรปเพื่อต่อต้านการคว่ำบาตร
การโจมตีต่อจีนใน “กำลังการผลิตส่วนเกิน” ไม่ได้โดดเด่นเฉพาะในเชิงปริมาณ แต่ยังมีผลในด้านยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงแนวทางเศรษฐกิจไปสู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงตามโครงการ “ผลิตในจีนปี 2025” จีนมีความสามารถทางเทคโนโลยีสูง ค่าแรงถูก และได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ ทำให้การผลิตในประเทศเพิ่มขึ้นเกือบจะเป็นแบบพึ่งตนเอง
สุดท้าย จีนมีข้อได้เปรียบในการแข่งขันที่หนักแน่นในอุตสาหกรรมสีเขียว ทำให้สหรัฐฯและสหภาพยุโรปต้องพิจารณาทบทวนนโยบายอุตสาหกรรมของตนใหม่ และอาจต้องพึ่งพาอุดหนุนของรัฐในบางกรณีเพื่อเตรียมพร้อมแข่งขันในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จีน
สหรัฐฯ ไม่ใช่ประเทศเดียวที่ลงคะแนนเสียงในวันที่ 5 พ.ย. ประเทศเล็กๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิกแห่งนี้ก็กำลังจัดการเลือกตั้งเช่นกัน และจีนก็จับตาดูอยู่
การเลือกตั้งปาเลาสำคัญต่อความสัมพันธ์จีนและไต้หวัน ปาเลาเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไต้หวัน การเปลี่ยนแปลงอาจส่งผลต่อดุลอำนาจทางการทูต
Key Points
ปาเลามีการเลือกตั้งใหญ่ในวันที่ 5 พฤศจิกายน เน้นการเปลี่ยนแปลงพันธมิตรทางการทูตจากไต้หวันไปยังจีนหลังการเลือกตั้งได้ รวมถึงการแข่งขันระหว่างประธานาธิบดีสองคน: Surangel Whipps Junior และ Tommy Remengensau Junior
ปาเลามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐ การเลือกตั้งอาจเปลี่ยนความสมดุลระหว่างจีนกับไต้หวัน เห็นได้จากความพยายามของจีนในการมีอิทธิพลในภูมิภาค
- การบรรยายของ Remengensau ว่า "สนับสนุนปักกิ่ง" ถูกมองอย่างรุนแรง ความขัดแย้งในการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยนสถานะทางการทูตทันที แต่ความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนยังคงมีอยู่
การเลือกตั้งที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาและปาเลาในวันที่ 5 พฤศจิกายน ไม่เพียงส่งผลในทิศทางการเมืองของแต่ละประเทศแต่ยังมีนัยสำคัญในเรื่องความสมดุลทางการฑูตระหว่างไต้หวันและจีน ปาเลา ซึ่งมีประธานาธิบดี วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ในวันเดียวกัน มีความสำคัญเนื่องจากเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ยังคงมีความสัมพันธ์ทางการฑูตกับไต้หวัน ความแข็งแกร่งของความสัมพันธ์นี้สามารถส่งผลต่อการต่อรองทางการฑูตในภูมิภาค ซึ่งจีนพยายามแย่งชิงพันธมิตรจากไต้หวันอยู่เป็นประจำ
ปาเลามีประชากรผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนแล้วจำนวน 16,000 คน และมีระบบการปกครองในลักษณะประธานาธิบดี ที่มีความใกล้เคียงกับสหรัฐอเมริกา แต่ไม่มีพรรคการเมือง และรูปแบบการเลือกตั้งอย่างวิทยาลัยเลือกตั้ง การแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีนี้เป็นการแข่งขันที่สูสีกันระหว่าง Surangel Whipps Junior และ Tommy Remengensau Junior ซึ่งทั้งสองมีความสัมพันธ์กับจีนในลักษณะต่างๆ กัน Remengensau ถูกกล่าวหาว่าอาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางการฑูตไปสู่จีน อย่างไรก็ตาม เขาได้ปฏิเสธการกล่าวหานี้อย่างโกรธเคือง
ในช่วงเวลาที่ผ่านมา โลกได้จับตามองปาเลาว่าอาจเป็นจุดเปลี่ยนทางการฑูตระหว่างไต้หวันและจีน อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของจีนในปาเลานั้นเชื่อมโยงกับกรณีการพยายามก่อตั้งสื่อท้องถิ่นโดยนักธุรกิจชาวจีน ถึงแม้ว่าข้อตกลงจะล้มเหลวเพราะผลกระทบจากโควิด แต่หลักฐานยังชี้ให้เห็นว่ามีการพยายามโน้มน้าวผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การทุจริตในกลไกของรัฐและการกระทำผิดทางกฎหมายโดยพวกค้ามนุษย์
แม้ว่าอิทธิพลของจีนอาจมีโอกาสสร้างความเปลี่ยนแปลงในอนาคต แต่การตีตราผู้นำหรือสื่อว่าเป็น “สนับสนุนจีน” อย่างไร้เหตุผล อาจไม่เป็นประโยชน์ในการสร้างสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับปักกิ่ง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวังในวิธีการสร้างความร่วมมือในภูมิภาคนี้ เพื่อไม่ให้เติมเชื้อไฟให้กับวิกฤตทางการฑูตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต